ทิศทางใหม่ของการจัดการเรียนรู้
เวทีเสวนา เรื่อง "ทิศทางใหม่ของการจัดการเรียนรู้"
วิทยากร รศ.ดร.วรรณพงษ์ เตรียมโพธิ์รองคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์สุรัตน์ แท่นประเสริฐกุล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการมัธยมศึกษา โรงเรียนดรุณสิกขาลัย
อาจารย์ไกรวิน วัฒนะรัตน์
อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ดร.ฐาปณัฐ อุดมศรี
ผู้ดำเนินรายการ
ทำไมต้องจัดการเรียนรู้ใหม่
- เพราะโลก สังคม และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งโครงสร้างสังคม อาชีพ และเทคโนโลยี
- ความรู้มาเร็วและไปเร็ว
- การเรียนรู้แบบเดิมๆ เป็นแบบไหน
- "ครู" เป็นศูนย์กลาง และเป็นผู้นำของห้องเรียน
- การเรียนเป็นการรับข้อมูลฝ่ายเดียว
- ครูมีบทบาทสำคัญต่อการชอบหรือไม่ชอบวิชาของนักเรียน
- สิ่งเร้าแวดล้อมของเด็กมีน้อยกว่าปัจจุบัน
- เด็กเชื่อครู
อยากให้เด็กไทยในอนาคตเป็นอย่างไร
- มีทัศนคติที่ดี
- มีนิสัยดี
- รู้จักตัวเอง
- จัดการตัวเองได้
- เห็นคุณค่าของตัวเอง
- อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
ทิศทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่
- ครู ต้องเป็นมากกว่าผู้บรรยาย (Lecturer) แต่ต้องเป็นผู้เอื้อการเรียนรู้ (Facilitator) ที่สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก
- มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ให้เข้าถึงง่าย มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย แต่ก็ต้องระวังการอาจดึงความสนใจเด็กจากครู และโรงเรียน
ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้แบบใหม่
ดรุณสิขาลัย (Constructionism)- เด็กสร้างความรู้เอง ซึ่งมาจากความสนใจใคร่รู้ของเด็กจริงๆ (Passion)โดยผ่านการทำ Project
- เรียนรู้แบบบูรณาการทุกเนื้อหา (Seamless)
- เรียนรู้จากการลงไปพื้นที่จริง เช่น ไปตลาดน้ำ สวนผัก ชุมชน เป็นต้น
- Career - based Learning มีการจัดบ้านเรียน ให้ครูเป็น Role Model ให้เด็กรู้จักวางแผน จัดระบบ วิจัยค้นหาคำตอบ
- ให้เด็กต่างวัยเรียนรวมกัน
- ส่งเสริมการถกเถียง (Discussion) ตั้งคำถามกันระหว่างของครูและเด็ก สลายการเป็นเด็กหน้าห้อง-หลังห้อง
STEM (Inquiry - based Learning)
Class Room 4.0 (วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม)
มีการใช้ประโยชน์จากออนไลน์
- การสร้างสื่อการเรียนรู้ เช่น ทำวิดีโอคลิป เผยแพร่ความรู้ดีๆ บนเฟสบุ๊ก ให้เด็กๆ เห็นความคิดเห็นของเพื่อน แล้ว discuss กัน
- สรุปและแลกเปลี่ยนแบ่งปันการเรียนรู้
- โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านเฟสบุ๊ก ให้เด็กมาเรียน
- ส่งเสริมรายวิชาหรือเชิญวิทยากรที่น่าสนใจมาแชร์ประสบการณ์ในห้องเรียน
- ไม่ใช่แค่อาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ Influencer ที่น่าสนใจ เช่น Mthai, Uber, Google, รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ
- กระตุ้นให้เด็กคิด นำเสนอประเด็นหรือเนื้อหาที่ต้องการเอง
- ผลักดันนักเรียนที่มีความรู้ให้ขึ้นมาเป็นผู้สอน ทั้งในห้องเรียน มหาวิทยาลัย หรือทำงานกับองค์กรภายนอก
- ครูเป็น Cheerleader ในการนำ เพื่อสนับสนุน และกระตุ้นเด็ก
- เด็กก็จะมีศักยภาพเบ่งบาน และผันตัวขึ้นมาเป็น Leader
- เกิด Community และ Connection
- ครูไม่ได้เป็นเพียงคนยืนบรรยาย (Lecturer) อยู่หน้าห้อง แต่ผันตัวเองไปเป็น Facilitator รวมถึง Cheerleader ที่สนับสนุนและกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก
- เป็น Ambassador ในการสร้าง community ของการเรียนรู้ และการทำงานในอนาคตอีกด้วย
- ครูต้องลดแรงกดดันของตัวเอง แทนที่จะให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางแบบเดิม ให้คิดว่าตัวเองเป็นผู้เรียนคนหนึ่ง ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้ที่น่าสนใจร่วมกัน
- สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง