10 ของขวัญเพื่อส่งกำลังใจให้กัน
ในวันที่เหนื่อยหน่ายกับภาระหนัก ต้องเผชิญกับความเครียดที่รุมเร้า วิกฤตสุขภาพที่คุกคามชีวิต ปัญหาที่ยังไม่พบคำตอบ กำหนดเส้นตายที่ขึงรออยู่ข้างหน้า สารพัดความวุ่นวายที่ถาโถมประดังเข้ามาให้สะสาง ในสภาวการณ์เช่นนี้ กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้สิ่งยาก ถากถางอุปสรรคต่างๆ และอยู่รอดให้ได้ แต่เราไม่ได้เป็นคนเดียวที่กำลังเผชิญกับจิตใจที่หดหู่ หมดเรียวแรง และสิ้นหวัง หากเราลองเหลียวมองไปรอบๆ เราจะพบเพื่อนร่วมทุกข์ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเราอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนคุยในสังคมออนไลน์ จริงอยู่ เราอาจจะไม่สามารถแบ่งเบาภาระที่แต่ละคนแบกไว้ได้ แต่เราสามารถให้กำลังใจกันและกันด้วยของขวัญแห่งความปรารถนาดี จะดีสักแค่ไหนถ้าเราหันมาส่งกำลังใจให้กัน และ 10 ชิ้นนี้เป็นของขวัญง่ายๆ ที่จะช่วยปลอบประโลมโลกสีหม่นให้สดใสขึ้นมาอีกนิด
ของขวัญชิ้นที่ 1 ส่งรอยยิ้ม
รอยยิ้มคือภาษากายที่สื่อความหมายของอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างทรงพลัง แต่เราเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่ารอยยิ้มที่เราส่งออกไปทุกวันนี้สื่อความหมายอะไร หรือเป็นเพียงแค่การยกมุมปากขึ้นตามมารยาท รอยยิ้มที่ให้กำลังใจต้องมีความเฉพาะเจาะจงจึงจะส่งถึงผู้รับ และเขาจะสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่จริงใจในรอยยิ้มนั้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเสี้ยววินาทีที่เดินสวนกัน การสบตา พยักหน้า และส่งยิ้มให้กันก็อาจถือเป็นของขวัญชิ้นพิเศษสำหรับวันอันหนักหน่วงของบางคนก็ได้
ของขวัญชิ้นที่ 2 ส่งสายตาแห่งการรับรู้และเห็นอกเห็นใจ
เมื่อเราต้องการให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญความโศกเศร้าหรือวิตกกังวล เราควรตระหนักก่อนว่า สิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ใช่บทเรียนการแก้ปัญหาหรือฮาวทู (How to) สู่ความสำเร็จ แต่กลับเป็นใครสักคนที่พร้อมจะนั่งลงข้างกาย รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสินถูกผิด ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นอาจไม่สำคัญในเวลาที่ความรู้สึกเจ็บปวดของอีกฝ่ายพรั่งพรูออกมา แต่แววตาที่แสดงออกถึงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจของเราจะทำให้คนที่เป็นทุกข์ทุรนทุรายอยู่นั้นสงบลงได้ เราต้องเรียนรู้ว่า บางครั้ง คำปลอบโยนที่ดีที่สุดก็คือการดำรงอยู่ของความเงียบที่อบอุ่นและจริงใจ
ของขวัญชิ้นที่ 3 ส่งคำทักทาย
คนที่ขาดกำลังใจมักจะส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือหรือขอกำลังหนุนออกมาในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาษากายที่แสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ภาษาพูด และภาษาเขียน ถ้าเขาคนนั้นเป็นคนที่เราแคร์ แค่การส่งคำทักทายสั้นๆ ไปบอกให้เขารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ และเราเห็นสัญญาณที่เขาส่งมา อาจจะดูเหมือนไม่ช่วยอะไร แต่เชื่อเถอะว่า สำหรับคนที่ต้องการกำลังใจ แค่การโบกมือหรือคำทักทายก็มีพลังมากพอกับยาคลายเศร้าเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้เขารู้สึกมีตัวตนในสายตาเรา
ของขวัญชิ้นที่ 4 ส่งเสียงสะท้อนป้อนกลับ
สำหรับคนบางคนอาจต้องการคำยืนยันจากบุคคลอื่น เพื่อจะแน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้อง หรือมีจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุงอย่างไร การให้ข้อเสนอแนะเชิงบวกจึงถือเป็นการให้กำลังใจแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การให้กำลังใจด้วยวิธีนี้มีข้อพึงระวังอยู่บ้าง หากเราไม่รู้หรือไม่เข้าใจจุดเปราะบางของบุคคลที่เรากำลังพูดคุยด้วย เราอาจจะใช้วิธีตั้งคำถามให้เขาสะท้อนสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาก่อน แล้วค่อยป้อนเสียงสะท้อนนั้นกลับคืนไป สนับสนุนสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และสำทับด้วยข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไข ปรับปรุง อย่าดีแต่ชมแบบลมๆ แล้งๆ หรือเอาแต่ตำหนิอย่างเลื่อนลอยโดยไม่เสนอแนะแนวทางปรับปรุงแก้ไข เพราะนั่นยิ่งจะทำให้คนที่จมอยู่ในปัญหาประสบภาวะมืดแปดด้านหนักกว่าเดิม
ของขวัญชิ้นที่ 5 ส่งถ้อยคำชมเชย
ไม่มีอะไรเป็นของขวัญแห่งใจมากไปกว่าการที่มีคนเห็นคุณงามความดีของเรา คนได้รับคำชมอย่างน้อยก็ต้องอมยิ้มหรือแอบยิ้มในใจ อย่างไรก็ตาม คำชมก็เหมือนขนมหวาน รับประทานมากไปก็อาจเป็นโทษ ดังนั้น การให้คำชมเชยควรพอเหมาะพอดี ไม่ชมพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นแค่คำพูดลอยๆ ไร้ความหมาย ไม่น่าเชื่อถือ แต่ต้องเป็นคำชมเชยที่ส่งผลต่อการพัฒนาของผู้รับคำชม ถ้อยคำชมเชยจากใจจะไม่แฝงแววประชดประชันหรือเสียดสี แต่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีที่ผู้รับสัมผัสได้และมีกำลังใจที่จะพัฒนาตนเองต่อไป
ของขวัญชิ้นที่ 6 ส่งข้อความหนุนใจ
ถ้าจนด้วยคำพูดจริงๆ เพราะไม่มั่นใจในวาทศิลป์ของตัวเอง ก็ลองให้คนอื่นพูดแทน แต่อย่าลืมเติมความใส่ใจลงไปในข้อความที่หยิบยกมาให้กำลังใจเหล่านั้น หยอดมุขเบาๆ ที่ทำให้เขายิ้มได้ เช่น ให้กำลังใจเป็นภาษาเกาหลี ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นคอซีรี่ย์ หรือ ใช้ประโยคคำขวัญประจำทีมฟุตบอลที่เขาเป็นแฟนตัวยง หรือหยิบยืมข้อพระธรรมคำสอนตามศรัทธาความเชื่อของเขามาเป็นข้อความหนุนใจ หรือแม้กระทั่งส่งไฟล์เสียงเพลงของศิลปินวงโปรดของเขาไปให้ สิ่งเหล่านี้จะมีความหมายต่อผู้รับมากกว่าถ้อยคำให้กำลังใจหรือคำคมทั่วไป เพราะเป็นข้อความที่เขาผูกพัน และนอกจากนั้น เขายังรับรู้ถึงความใส่ใจของเราอีกด้วย
ของขวัญชิ้นที่ 7 ส่งความรู้สึกดีๆ
ขณะที่นั่งลงรับฟังคำปรับทุกข์ของเพื่อน แล้วจบลงด้วยเสียงทอดถอนใจ แทนที่จะถมความเงียบชวนอึดอัดด้วยคำเทศนาสั่งสอนให้เขาปลงใจยอมรับสภาพทุกข์ที่เกิดขึ้น ลองใช้โอกาสนี้บอกเล่าถึงความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อเขา อาจเป็นเรื่องเล่าที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน หรือเป็นความประทับใจที่เรามีต่อเขาในวันเก่าๆ ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการดึงเขาออกจากสถานการณ์ที่สร้างความไม่สบายใจด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว เรื่องราววันชื่นคืนสุขในอดีตก็มักจะเรียกรอยยิ้มได้เสมอ หรือแม้กระทั่งเสียงหัวเราะก็ตาม ตบท้ายด้วยการให้ความเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถเอาชนะและข้ามผ่านสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ไปได้ และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ของขวัญชิ้นที่ 8 ส่งคำขอบคุณ
คำขอบคุณทำให้ผู้รับรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า แท้ที่จริง เราทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง แต่เรามักจะมองข้ามคุณค่าของตัวเองไป ทำให้ท้อใจและรู้สึกไร้ค่า แต่เมื่อมีคนสะท้อนคุณค่าของเราออกมาในคำขอบคุณ ก็ทำให้เรามองเห็นคุณค่านั้นชัดเจนขึ้น คำขอบคุณจึงเปรียบเสมือนของขวัญอันมีค่าที่ช่วยเติมเต็มตัวตนที่พร่องอยู่ มีเรื่องมากมายที่เราสามารถสรรหามาแสดงความขอบคุณคนๆ หนึ่ง ทั้งในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยสักแค่ไหน เพียงเป็นเรื่องที่ประทับใจก็สามารถนำมาเป็นหัวข้อการขอบคุณได้เกือบทุกเรื่อง (อาจมีบางเรื่องที่ไม่ควรนำมาเป็นหัวข้อในการขอบคุณ เช่น เรื่องส่วนตัวหรือความลับที่เขาไม่ต้องการเปิดเผย ดังนั้น จึงต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกเรื่องที่จะขอบคุณด้วยเช่นกัน)
ของขวัญชิ้นที่ 9 ส่งขนมหรือเครื่องดื่ม
ไม่ถือเป็นการผิดกฎใดๆ ที่เราจะหยิบยื่นของขวัญที่เป็นรูปธรรม เพราะนอกจากกำลังใจแล้ว คนที่ตกอยู่ในห้วงปัญหาก็ต้องการกำลังกายด้วย แต่บางครั้ง ด้วยสภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติ ทำให้ความเจริญอาหารลดลง ดังนั้น ของขบเคี้ยว ผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบจะกลายเป็นทั้งแหล่งพลังงานและพลังใจให้กับคนที่ท้อแท้ สิ้นหวังได้มีแรง พลิกฟื้นความสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแลต ลูกอม น้ำอัดลม นมกล่อง กาแฟกระป๋อง น้ำผลไม้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่หยิบยื่นได้ง่าย แต่ให้คุณค่าต่อจิตใจมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ (ผ่อนปรนบ้าง เพราะเขาคงไม่ได้ดื่มกาแฟทั้งวัน และไม่ได้ซดน้ำอัดลมตลอดทั้งสัปดาห์)
ของขวัญชิ้นที่ 10 ส่งคำอวยพร
ลึกๆ ในจิตใจของเราทุกคนมีความกลัวซ่อนอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราได้แต่คาดเดา และคาดหวังว่าจะเป็นไปตามที่เราตั้งใจ และเมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เราก็กลัวผิดหวัง กลัวความล้มเหลว ณ จุดที่ภาระที่แบกรับเกินกำลังของเรา บ่อยครั้งที่เราต้องการปาฏิหาริย์ เพื่อจะหลุดพ้นจะบ่วงปัญหาที่ผูกมัดเราไว้ พลังอำนาจที่เหนือกว่ากำลังของเราจึงเป็นสิ่งที่เราพึ่งพา คำพรจากทุกสารทิศเปรียบเหมือนหยดน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงใจของเราให้มีความหวัง ดังนั้น หากเราพบคนสิ้นหวัง หมดพลัง เพียงแค่ขอพรให้เขา อวยพรเขา อธิษฐานออกเสียงเผื่อเขา เท่านี้ก็พอจะทำให้หัวใจที่แฟบฝ่อห่อเหี่ยวค่อยพองฟูขึ้นมาได้บ้างแล้ว
นอกเหนือจากที่ได้เสนอมานี้ ก็ยังมีของขวัญอีกมากมายที่เราสามารถหยิบยื่นเป็นกำลังใจให้กันและกันได้ เช่น บางคนชอบส่งดอกไม้ บางคนชอบพาไปทำกิจกรรมผ่อนคลายทั้งสายบุญและสายบันเทิง และบางคนชอบการสัมผัส (กอด กุมมือ ตบไหล่ ฯลฯ แต่เนื่องจากเราอยู่ในช่วงของการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงไม่แนะนำวิธีนี้) แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม กำลังใจนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากใจ อยู่ในใจ มีวาระที่เหือดแห้ง มีวาระสร้างขึ้นใหม่ และสามารถถ่ายเทจากใจถึงใจได้ ดังนั้น อย่าปล่อยให้หัวใจของคนใกล้ชิดต้องแห้งผาก หากเรายังพอมีแรงที่จะหยิบยื่นแบ่งปันให้กันได้ อย่างน้อยก็พอจะช่วยให้วันเศร้าๆ ของพวกเขาไม่โหดร้ายจนเกินไป
ของขวัญชิ้นที่ 1 ส่งรอยยิ้ม
รอยยิ้มคือภาษากายที่สื่อความหมายของอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างทรงพลัง แต่เราเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่ารอยยิ้มที่เราส่งออกไปทุกวันนี้สื่อความหมายอะไร หรือเป็นเพียงแค่การยกมุมปากขึ้นตามมารยาท รอยยิ้มที่ให้กำลังใจต้องมีความเฉพาะเจาะจงจึงจะส่งถึงผู้รับ และเขาจะสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่จริงใจในรอยยิ้มนั้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเสี้ยววินาทีที่เดินสวนกัน การสบตา พยักหน้า และส่งยิ้มให้กันก็อาจถือเป็นของขวัญชิ้นพิเศษสำหรับวันอันหนักหน่วงของบางคนก็ได้
ของขวัญชิ้นที่ 2 ส่งสายตาแห่งการรับรู้และเห็นอกเห็นใจ
เมื่อเราต้องการให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญความโศกเศร้าหรือวิตกกังวล เราควรตระหนักก่อนว่า สิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ใช่บทเรียนการแก้ปัญหาหรือฮาวทู (How to) สู่ความสำเร็จ แต่กลับเป็นใครสักคนที่พร้อมจะนั่งลงข้างกาย รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสินถูกผิด ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นอาจไม่สำคัญในเวลาที่ความรู้สึกเจ็บปวดของอีกฝ่ายพรั่งพรูออกมา แต่แววตาที่แสดงออกถึงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจของเราจะทำให้คนที่เป็นทุกข์ทุรนทุรายอยู่นั้นสงบลงได้ เราต้องเรียนรู้ว่า บางครั้ง คำปลอบโยนที่ดีที่สุดก็คือการดำรงอยู่ของความเงียบที่อบอุ่นและจริงใจ
ของขวัญชิ้นที่ 3 ส่งคำทักทาย
คนที่ขาดกำลังใจมักจะส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือหรือขอกำลังหนุนออกมาในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาษากายที่แสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ภาษาพูด และภาษาเขียน ถ้าเขาคนนั้นเป็นคนที่เราแคร์ แค่การส่งคำทักทายสั้นๆ ไปบอกให้เขารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ และเราเห็นสัญญาณที่เขาส่งมา อาจจะดูเหมือนไม่ช่วยอะไร แต่เชื่อเถอะว่า สำหรับคนที่ต้องการกำลังใจ แค่การโบกมือหรือคำทักทายก็มีพลังมากพอกับยาคลายเศร้าเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้เขารู้สึกมีตัวตนในสายตาเรา
ของขวัญชิ้นที่ 4 ส่งเสียงสะท้อนป้อนกลับ
สำหรับคนบางคนอาจต้องการคำยืนยันจากบุคคลอื่น เพื่อจะแน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้อง หรือมีจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุงอย่างไร การให้ข้อเสนอแนะเชิงบวกจึงถือเป็นการให้กำลังใจแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การให้กำลังใจด้วยวิธีนี้มีข้อพึงระวังอยู่บ้าง หากเราไม่รู้หรือไม่เข้าใจจุดเปราะบางของบุคคลที่เรากำลังพูดคุยด้วย เราอาจจะใช้วิธีตั้งคำถามให้เขาสะท้อนสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาก่อน แล้วค่อยป้อนเสียงสะท้อนนั้นกลับคืนไป สนับสนุนสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และสำทับด้วยข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไข ปรับปรุง อย่าดีแต่ชมแบบลมๆ แล้งๆ หรือเอาแต่ตำหนิอย่างเลื่อนลอยโดยไม่เสนอแนะแนวทางปรับปรุงแก้ไข เพราะนั่นยิ่งจะทำให้คนที่จมอยู่ในปัญหาประสบภาวะมืดแปดด้านหนักกว่าเดิม
ของขวัญชิ้นที่ 5 ส่งถ้อยคำชมเชย
ไม่มีอะไรเป็นของขวัญแห่งใจมากไปกว่าการที่มีคนเห็นคุณงามความดีของเรา คนได้รับคำชมอย่างน้อยก็ต้องอมยิ้มหรือแอบยิ้มในใจ อย่างไรก็ตาม คำชมก็เหมือนขนมหวาน รับประทานมากไปก็อาจเป็นโทษ ดังนั้น การให้คำชมเชยควรพอเหมาะพอดี ไม่ชมพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นแค่คำพูดลอยๆ ไร้ความหมาย ไม่น่าเชื่อถือ แต่ต้องเป็นคำชมเชยที่ส่งผลต่อการพัฒนาของผู้รับคำชม ถ้อยคำชมเชยจากใจจะไม่แฝงแววประชดประชันหรือเสียดสี แต่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีที่ผู้รับสัมผัสได้และมีกำลังใจที่จะพัฒนาตนเองต่อไป
ของขวัญชิ้นที่ 6 ส่งข้อความหนุนใจ
ถ้าจนด้วยคำพูดจริงๆ เพราะไม่มั่นใจในวาทศิลป์ของตัวเอง ก็ลองให้คนอื่นพูดแทน แต่อย่าลืมเติมความใส่ใจลงไปในข้อความที่หยิบยกมาให้กำลังใจเหล่านั้น หยอดมุขเบาๆ ที่ทำให้เขายิ้มได้ เช่น ให้กำลังใจเป็นภาษาเกาหลี ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นคอซีรี่ย์ หรือ ใช้ประโยคคำขวัญประจำทีมฟุตบอลที่เขาเป็นแฟนตัวยง หรือหยิบยืมข้อพระธรรมคำสอนตามศรัทธาความเชื่อของเขามาเป็นข้อความหนุนใจ หรือแม้กระทั่งส่งไฟล์เสียงเพลงของศิลปินวงโปรดของเขาไปให้ สิ่งเหล่านี้จะมีความหมายต่อผู้รับมากกว่าถ้อยคำให้กำลังใจหรือคำคมทั่วไป เพราะเป็นข้อความที่เขาผูกพัน และนอกจากนั้น เขายังรับรู้ถึงความใส่ใจของเราอีกด้วย
ของขวัญชิ้นที่ 7 ส่งความรู้สึกดีๆ
ขณะที่นั่งลงรับฟังคำปรับทุกข์ของเพื่อน แล้วจบลงด้วยเสียงทอดถอนใจ แทนที่จะถมความเงียบชวนอึดอัดด้วยคำเทศนาสั่งสอนให้เขาปลงใจยอมรับสภาพทุกข์ที่เกิดขึ้น ลองใช้โอกาสนี้บอกเล่าถึงความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อเขา อาจเป็นเรื่องเล่าที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน หรือเป็นความประทับใจที่เรามีต่อเขาในวันเก่าๆ ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการดึงเขาออกจากสถานการณ์ที่สร้างความไม่สบายใจด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว เรื่องราววันชื่นคืนสุขในอดีตก็มักจะเรียกรอยยิ้มได้เสมอ หรือแม้กระทั่งเสียงหัวเราะก็ตาม ตบท้ายด้วยการให้ความเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถเอาชนะและข้ามผ่านสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ไปได้ และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ของขวัญชิ้นที่ 8 ส่งคำขอบคุณ
คำขอบคุณทำให้ผู้รับรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า แท้ที่จริง เราทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง แต่เรามักจะมองข้ามคุณค่าของตัวเองไป ทำให้ท้อใจและรู้สึกไร้ค่า แต่เมื่อมีคนสะท้อนคุณค่าของเราออกมาในคำขอบคุณ ก็ทำให้เรามองเห็นคุณค่านั้นชัดเจนขึ้น คำขอบคุณจึงเปรียบเสมือนของขวัญอันมีค่าที่ช่วยเติมเต็มตัวตนที่พร่องอยู่ มีเรื่องมากมายที่เราสามารถสรรหามาแสดงความขอบคุณคนๆ หนึ่ง ทั้งในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยสักแค่ไหน เพียงเป็นเรื่องที่ประทับใจก็สามารถนำมาเป็นหัวข้อการขอบคุณได้เกือบทุกเรื่อง (อาจมีบางเรื่องที่ไม่ควรนำมาเป็นหัวข้อในการขอบคุณ เช่น เรื่องส่วนตัวหรือความลับที่เขาไม่ต้องการเปิดเผย ดังนั้น จึงต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกเรื่องที่จะขอบคุณด้วยเช่นกัน)
ของขวัญชิ้นที่ 9 ส่งขนมหรือเครื่องดื่ม
ไม่ถือเป็นการผิดกฎใดๆ ที่เราจะหยิบยื่นของขวัญที่เป็นรูปธรรม เพราะนอกจากกำลังใจแล้ว คนที่ตกอยู่ในห้วงปัญหาก็ต้องการกำลังกายด้วย แต่บางครั้ง ด้วยสภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติ ทำให้ความเจริญอาหารลดลง ดังนั้น ของขบเคี้ยว ผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบจะกลายเป็นทั้งแหล่งพลังงานและพลังใจให้กับคนที่ท้อแท้ สิ้นหวังได้มีแรง พลิกฟื้นความสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแลต ลูกอม น้ำอัดลม นมกล่อง กาแฟกระป๋อง น้ำผลไม้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่หยิบยื่นได้ง่าย แต่ให้คุณค่าต่อจิตใจมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ (ผ่อนปรนบ้าง เพราะเขาคงไม่ได้ดื่มกาแฟทั้งวัน และไม่ได้ซดน้ำอัดลมตลอดทั้งสัปดาห์)
ของขวัญชิ้นที่ 10 ส่งคำอวยพร
ลึกๆ ในจิตใจของเราทุกคนมีความกลัวซ่อนอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราได้แต่คาดเดา และคาดหวังว่าจะเป็นไปตามที่เราตั้งใจ และเมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เราก็กลัวผิดหวัง กลัวความล้มเหลว ณ จุดที่ภาระที่แบกรับเกินกำลังของเรา บ่อยครั้งที่เราต้องการปาฏิหาริย์ เพื่อจะหลุดพ้นจะบ่วงปัญหาที่ผูกมัดเราไว้ พลังอำนาจที่เหนือกว่ากำลังของเราจึงเป็นสิ่งที่เราพึ่งพา คำพรจากทุกสารทิศเปรียบเหมือนหยดน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงใจของเราให้มีความหวัง ดังนั้น หากเราพบคนสิ้นหวัง หมดพลัง เพียงแค่ขอพรให้เขา อวยพรเขา อธิษฐานออกเสียงเผื่อเขา เท่านี้ก็พอจะทำให้หัวใจที่แฟบฝ่อห่อเหี่ยวค่อยพองฟูขึ้นมาได้บ้างแล้ว
นอกเหนือจากที่ได้เสนอมานี้ ก็ยังมีของขวัญอีกมากมายที่เราสามารถหยิบยื่นเป็นกำลังใจให้กันและกันได้ เช่น บางคนชอบส่งดอกไม้ บางคนชอบพาไปทำกิจกรรมผ่อนคลายทั้งสายบุญและสายบันเทิง และบางคนชอบการสัมผัส (กอด กุมมือ ตบไหล่ ฯลฯ แต่เนื่องจากเราอยู่ในช่วงของการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงไม่แนะนำวิธีนี้) แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม กำลังใจนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากใจ อยู่ในใจ มีวาระที่เหือดแห้ง มีวาระสร้างขึ้นใหม่ และสามารถถ่ายเทจากใจถึงใจได้ ดังนั้น อย่าปล่อยให้หัวใจของคนใกล้ชิดต้องแห้งผาก หากเรายังพอมีแรงที่จะหยิบยื่นแบ่งปันให้กันได้ อย่างน้อยก็พอจะช่วยให้วันเศร้าๆ ของพวกเขาไม่โหดร้ายจนเกินไป
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น
1. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาอันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ เป็นอันขาด
2. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาที่ส่อไปในทางหยาบคาย ก้าวร้าว ... (อ่านทั้งหมด)