OKMD กระตุกต่อมคิด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ - Opportunity for All
กระตุกต่อมคิด เพื่อพัฒนาความคิด เพิ่มความรู้ สร้างสรรค์ภูมิปัญญา

บาริสต้า ผู้สร้างสรรค์มนต์เสน่ห์ให้กับกาแฟ

25999 | 29 มิถุนายน 2564
บาริสต้า ผู้สร้างสรรค์มนต์เสน่ห์ให้กับกาแฟ
บาริสต้า คือคนที่อยู่เบื้องหลังรสชาติ และสร้างสรรค์มนต์เสน่ห์ให้กับกาแฟ กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และแพร่หลายในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว จากสถิติประชากรกว่า 70  ล้านคนในประเทศไทย มีคนที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยต่อคนถึงปีละกว่า 200 แก้ว  ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 41 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียนเลยทีเดียว โดยมีข้อมูลระบุว่าในปี 2560 ธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 21,220 ล้านบาท และยังเติบโตขึ้นสูงถึง 10 % ต่อปีอีกด้วย ในช่วงเวลาที่ธุรกิจกาแฟกำลังเติบโตไปข้างหน้าก็ได้ทำให้บาริสต้าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการประกอบอาชีพในปัจจุบัน

4 คุณสมบัติเบื้องต้นสำหรับการเป็นบาริสต้า : 
สำหรับผู้ที่ความชื่นชอบหรือหลงใหลในกาแฟ พร้อมที่จะใช้เวลาอยู่กับการแฟได้ตลอดเวลา และสนใจในการก้าวเข้าสู้เส้นทางการเป็นบาริสต้า มีดังนี้
  1. ชอบดื่มกาแฟ : ควรต้องเป็นคนที่หมั่นชิม วิเคราะห์ สร้างสรรค์เมนูพิเศษ และศึกษาศาสตร์ของกาแฟเพิ่มเติมอยู่เสมอ 
  2. ช่างสังเกต : บาริสต้าจำเป็นจะต้องสังเกตการทำงานในทุกๆ กระบวนการ ทั้งการคัดเลือกเมล็ดกาแฟ การชง และการจดจำข้อมูลความต้องการของลูกค้าแต่ละคนเพื่อการให้บริการในครั้งต่อไป
  3. มีความซื่อสัตย์ : ไม่เอาเปรียบลูกค้า ใส่ใจในเรื่องของความสะอาด และวัตถุดิบ ก่อนที่กาแฟจะถึงมือลูกค้าบาริสต้าจะต้องมั่นใจว่าเป็นกาแฟที่ดีที่สุดเสมอ 
  4. รู้จักเปิดใจ : ยอมรับในคำวิจารณ์ และแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้น
และนี่ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีของบาริสต้า ที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

หน้าที่หลัก 5 ข้อของการเป็นบาริสต้า 
เมื่อเช็คลิสต์ผ่านทั้ง 4 แล้ว สิ่งสำคัญเบื้องต้นที่ต้องรู้และต้องเข้าใจต่อไป ก็คือ หน้าที่หลัก 5 ข้อของการเป็นบาริสต้า ซึ่งประกอบไปด้วย 
  1. การจัดเตรียม และชงกาแฟ : บาริสต้าจะต้องจัดเตรียมวัตถุดิบที่จะต้องใช้ในการชงกาแฟ โดย หมั่นตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดกาแฟ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา 
  2. การรักษาความสะอาดเครื่องมือ : โดยหมั่นเช็ดล้างทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้บริเวณบาร์อยู่เสมอ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของลูกค้า และภาพลักษณ์ที่ดีของร้านกาแฟ
  3. การแนะนำเครื่องดื่ม : บาริสต้าจำเป็นต้องมีความสามารถในการนำเสนอเครื่องดื่มที่เหมาะสมและสนองต่อความต้องการและรสนิยมของลูกค้าได้
  4. การเช็คสต็อกสินค้า : โดยหมั่นตรวจสอบปริมาณวัตถุดิบภายในร้านให้เพียงพอ และจะต้องไม่นำสินค้าเสื่อมคุณภาพมาให้บริการ 
  5. การรักษาความสะอาดอุปกรณ์ : ภายหลังจากให้บริการลูกค้าในแต่ละวัน บาริสต้าจำเป็นต้องดูแลรักษาทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ในร้านกาแฟให้อยู่ในสภาพที่ดี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับในวันถัดไป เพื่อยืดอายุการใช้งาน และคงไว้ซึ่งรสชาติของกาแฟที่ได้มาตรฐานสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการ
เตรียมความพร้อมก่อนเป็นบาริสต้า
หลังจากนั้น เรามาเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นบาริสต้ากันต่อ ผู้ที่จะใช้ศาสตร์ของกาแฟมาสร้างสรรค์เป็นศิลปะที่ดื่มได้ มีสิ่งสำคัญที่จะต้องฝึกฝนและเรียนรู้ 4 เรื่อง คือ 
  1. การเลือกเมล็ดกาแฟ
  2. ศาสตร์การชิมกาแฟ
  3. การชงกาแฟแบบมืออาชีพ
  4. การดูแลรักษาเครื่องมือ
เริ่มกันที่ข้อแรก การคัดเลือกเมล็ดกาแฟ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญสำหรับการชงกาแฟ เพราะกาแฟแต่ละประเภทมีรสชาติ และรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนั้น บาริสต้าจึงควรจะเอาใจใส่คัดสรรเมล็ดกาแฟที่เหมาะสมกับการใช้งานให้ได้มากที่สุด  ซึ่งกาแฟมีเมล็ดพันธุ์อยู่มากมายหลายชนิดแต่เมล็ดพันธุ์ที่ครองใจคนทั่วโลกมีอยู่ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ
  1. พันธุ์อราบิก้า ให้รสชาตินุ่มหวานละมุนและมีรสเปรี้ยวซับซ้อนกว่าพันธุ์โรบัสต้า มีลักษณะเมล็ดเรียวผอมรอยผ่าตรงกลางคล้ายกับตัว S 
  2. พันธุ์โรบัสต้า ให้รสฝาดและมีกลิ่นหอมที่น้อยกว่ากาแฟอราบิก้าแต่จะให้รสชาติที่เข้มข้น และมีคาเฟอีนสูงกว่าถึง 1 - 2 เท่า มีลักษณะเมล็ดอวบอ้วนรอยผ่าตรงกลาง เป็นเส้นตรง
เมื่อเรารู้จักกับสายพันธุ์หลักของกาแฟแล้วสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟนั้นเราควรจะรู้ที่มาของเมล็ดกาแฟ ด้วยอย่างเช่น เป็น Single Origin หรือ Blend? ถ้าเป็นเมล็ดกาแฟที่ถูกคัดสรรมาจากแหล่งเดียวจะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแหล่งนั้นเรียกว่า Single Origin แต่ถ้ามีการผสมระหว่างกาแฟหลายสายพันธุ์เข้าด้วยกันจะเรียกว่า Blend 

ระดับการคั่ว ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ว่า คั่วระดับไหนจะได้กาแฟรสชาติใด โดยเริ่มจาก  

การคั่วกาแฟระดับอ่อน (Light roast) จะได้เมล็ดสีน้ำตาลอ่อนผิวแห้งจะคงรสธรรมชาติจากแหล่งปลูกมีรสผลไม้เด่นชัดค่อนข้างเปรี้ยวเหมาะสำหรับดื่มแบบไม่ผสมนมและน้ำตาล

การคั่วกาแฟระดับระดับปานกลาง (Medium roast) จะได้เมล็ดสีน้ำตาลกลางไปถึงเข้ม ผิวแห้ง ให้รสชาติของผลไม้ที่ลดลงแต่จะให้กลิ่นของช็อกโกแลตและถั่วที่เพิ่มขึ้น เหมาะสำหรับเมนูกาแฟร้อนผสมนม

การคั่วกาแฟระดับระดับเข้ม (Dark roast) จะได้เมล็ดสีเข้มเกือบดำมีน้ำมันเคลือบผิวเป็นเงาให้รสขมเข้มมากกว่ารสผลไม้เหมาะสำหรับเมนูกาแฟเย็นผสมนม

ที่สำคัญเมล็ดกาแฟต้องถูกบรรจุอยู่ในถุงที่ปิดสนิทแสงแดดเข้าไม่ถึง และไม่ควรซื้อมากักตุนเพราะหลังคั่วกลิ่นหอมของกาแฟจะลดระดับลงไปเรื่อยๆ

ข้อที่สอง ทำความรู้จักกับศาสตร์การชิมกาแฟ เพื่อฝึกการรับรสของกาแฟให้ได้ทั้งกลิ่นรสชาติและรสสัมผัสอย่างครบถ้วน โดยเริ่มที่ 

Aroma ยกแก้วกาแฟขึ้นมาใกล้กับจมูกสูดดมกลิ่นกาแฟให้เต็มที่แล้วลองจินตนาการดูว่ามีกลิ่นของอะไรปะปนอยู่บ้าง

Flavor สูดกาแฟให้มีเสียงดังหรือเรียกว่า Slurp ซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิกาแฟลดลงและปิดโพรงจมูกให้รับกลิ่นอย่างเต็มที่เพื่อจะได้เข้าถึงรสชาติของกาแฟได้มากขึ้น

Acidity เมื่อน้ำกาแฟกระจายอยู่ในช่องปากให้สำรวจว่ามีความสดใสชุ่มฉ่ำจากกรดผลไม้แค่ไหนถ้าจะให้ดีต้องนุ่มนวลมีสมดุลในรสชาติ

Body เมื่ออมกาแฟไว้สักพักเราจะสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นหนักเบาของกาแฟ หรือสิ่งที่เคลือบอยู่ภายในปากที่เรียกว่า Mounth Feel

Finish หรือ After testหลังจากกลืนกาแฟแล้วให้กลืนน้ำลายอีกครั้ง แล้วแตะลิ้นที่เพดานปากหายใจเข้าเพื่อสังเกตรสชาติที่คงค้างอยู่

ข้อที่สาม การชงกาแฟแบบมืออาชีพ อุปกรณ์ในการชงกาแฟมีอยู่หลายชนิด ซึ่งจะมีวิธีการใช้ และผลลัพท์ของกาแฟที่ได้แตกต่างกัน ทั้งกลิ่น สี และรสชาติ และอุปกรณ์ที่บาริสต้ามืออาชีพนิยมใช้กันมากที่สุดคือ Espresso Machine หรือเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ ซึ่งจะใช้น้ำร้อนที่มีแรงดันไอน้ำในหม้อต้มสกัดเอาน้ำกาแฟออกมาเพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่เข้มข้นที่เรียกว่า Espresso Shot เราจะสามารถรู้ได้ว่ากาแฟที่ชงเป็น Espresso Shot ที่สมบูรณ์ หรือ Perfect Shot ได้ด้วยวิธีการสังเกตดังนี้
  1. ครีม่าฟองสีทองด้านบนสุด รสสัมผัสดี และกลิ่นหอม
  2. บอดี้ที่อยู่ส่วนกลางมีสีน้ำตาลคาราเมล
  3. ฮาร์ทที่อยู่ก้นถ้วยสีเข้มมีรสชาติขม
ซึ่งพอได้ Perfect Shot แล้วจึงนำไปทำเป็นเมนูเบื้องต้น ดังต่อไปนี้ 1. เอสเพรสโซ่ 2. อเมริกาโน่ 3. คาปูชิโน่ 4.  ลาเต้  และ 5. มอคค่า

นอกจาก Espresso Machine ที่เราคุ้นตากันอยู่แล้ว ก็ยังมีวิธีการชงกาแฟในรูปแบบอื่นๆ ที่บาริสต้าจะต้องเรียนรู้เพื่อสามารถนำไปบริการลูกค้าได้อีก เช่น
  1. วิธีการสกัดกาแฟโดยให้น้ำไหลผ่านผงกาแฟลงใน Filter โดยใช้เครื่อง Drip Coffee จะทำให้ได้รสชาติกาแฟที่ชัดเจนและนุ่มนวลมีกลิ่นผลไม้
  2. วิธีการสกัดด้วยการแช่ผงกาแฟในน้ำร้อน โดยใช้เครื่อง French Press รสชาติที่ได้จะใกล้เคียงกับกาแฟดริปแต่เจือจางกว่า และมีรสสัมผัสของกากกาแฟ
  3. วิธีการต้มน้ำเพื่อกลั่นไอผ่านผงกาแฟ โดยใช้ Moka pot หรือกาต้มกาแฟ จะทำให้ได้น้ำกาแฟที่มีความเข้มใกล้เคียงกับการชงแบบเอสเปรสโซ่
  4. วิธีการสกัดกาแฟแบบสุญญากาศควบคุมด้วยน้ำหนักการคน โดยใช้เครื่องที่มีชื่อว่า Syphon (ไซฟอน)  จะได้รสชาติกาแฟที่เข้มข้น
  5. วิธีการสกัดกาแฟด้วยการแช่น้ำเย็นที่ใช้เวลานาน 8-12 ชั่วโมง โดยใช้ เครื่อง Cold Brew จะได้รสชาติที่นุ่มนวลและมีความเปรี้ยวน้อยกว่ากาแฟทั่วไป
เมื่อพอรู้จักรสชาติ และอุปกรณ์ชงกาแฟกันไปบ้างแล้วมาทำความรู้จักกับศิลปะบนฟองนมที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับถ้วยกาแฟกัน เพราะนมเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างสรรค์เมนูกาแฟให้ออกมามีหน้าตาที่สวยงามหรือที่เราเรียกว่า “ลาเต้อาร์ต” นั่นเอง

ลาเต้อาร์ต หรือ ศิลปะจากฟองนมนั้น มีเทคนิคการเทอยู่ 3 วิธีด้วยกัน
  1. Free hand pour การเทแบบอิสระ เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความชำนาญ และสมาธิ ด้วยการเทนมลงในถ้วยกาแฟอย่างช้าๆซึ่งลายที่นิยมใช้เทคนิคนี้ก็คือ ลายหัวใจ และลายใบไม้
  2. Drag หรือการลาก เป็นเทคนิคที่สามารถสร้างลวดลายได้หลากหลายโดยใช้อุปกรณ์ในการลาก เช่น ไม้จิ้มฟัน หรือแท่งคอกเทล 
  3. แบบผสม คือการผสมเทคนิคของการเทนม และการลากเข้าด้วยกัน โดยต้องอาศัยความชำนาญ และความเร็ว ใช้ในการสร้างลายที่ยากเช่น ลายนก และลายหงส์
การทำลาเต้อาร์ตที่ดีต้องมีความคมชัด ทั้งลวดลาย และการออกแบบมีวิธีการสังเกตก็คือเมื่อดื่มกาแฟจนถึงก้นแก้วแต่ลวดลายยังคงอยู่ ซึ่งการทำลาเต้อาร์ตออกมาได้อย่างสวยงามในแต่ละแก้ว จะสะท้อนถึงความใส่ใจของบาริสต้า เพื่อช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้านั่นเอง

สุดท้ายคือ ดูแลรักษาเครื่องมือหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน

ซึ่งมีเคล็ดไม่ลับ คือ การต้องล้างหัวชงกาแฟทุกครั้ง หลังจากใช้กาแฟหมดไป 1 กิโลกรัม นอกจากนั้นควรจะต้องทำความสะอาดเครื่องบดอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง อีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นบาริสต้า ตั้งแต่การเลือกสรรเมล็ดกาแฟ จนถึงต้องรู้จักศาสตร์ของการชิมกาแฟ และรู้จักวิธีการชงกาแฟแบบมืออาชีพ นอกจากนั้นก็จะต้องเข้าใจวิธีการดูแลรักษาเครื่องมือหลังเสร็จสิ้นการใช้งานอีกด้วย

เมื่อพร้อมเเล้วก็ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของ “บาริสต้า” ผู้ที่หลอมรวมศาสตร์และศิลป์ของกาแฟมาเป็นเครื่องดื่มที่โลกนี้ขาดไม่ได้... 

หากสนใจอยากรู้จักบาริสต้ามากขึ้น สามารถติดตามได้จากคลิปวิดีโอนี้ : www.okmd.or.th/knowledgebox/283/



ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น

"โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น"
1. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาอันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ เป็นอันขาด
2. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาที่ส่อไปในทางหยาบคาย ก้าวร้าว ... (อ่านทั้งหมด)